วันศุกร์ที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2559

จอนจู - จีนาน - ไมอีซาน

รถบัสไปเมืองจอนจูออกจากสนามบินตอน18.00น. ระหว่างสองข้างทางก็น่าตื่นตาตื่นใจสำหรับต่างชาติอย่างเราๆ สงสัยประเทศเราไม่มีแบบนี้555+ ถนนหนทางเค้าดูละลานตาไปหมด เส้นทางคมนาคมสุดยอดจริงๆ  บ้านเมืองนี้เค้าไม่ใช้รถมอเตอร์ไซต์บนท้องถนนกันรึไงไม่เห็นซักคัน รถบัสที่นี่จะขับชิดเลนในตลอดเลย คือเค้าจะจอดเป็นจุดๆไป ทำให้รักษาเวลาได้ดีมากคือตรงเวลาสุดๆ รู้สึกชอบถนนหนทางบ้านเค้าจริงๆ อะไรก็ดูดีไปซะหมด นั่งมาได้ประมาณ 1 ชั่วโมงกว่าๆ รถก็แวะพักข้างทาง น่าจะเป็นจุดพักรถนะ ที่นี่แหละที่เราจะหาของกินกัน  หิวมากกกกกก น้ำดื่มที่นี่(ทุกที่ในเกาหลี)แพงจุง ขวดละ700 วอน(นี่คือถูกสุดในร้านตอนนั้น) ของกินที่นี่เป็นแบบไม่ค่อยจริงจังนะ ส่วนใหญ่เป็นอะไรที่พกติดตัวไปกินได้  ยกตัวอย่างเช่น ลูกชึ้นเสียบไม้ และนี่ก็คืออาหารมื้อแรกของพวกเรา ไม้ละ 2500 วอน OMG!!  75 บาท ท่องไว้ๆมาเที่ยวๆๆอย่างก  แต่ที่เสียใจคือมันไม่ค่อยอร่อยอ่ะ
ลูกชิ้นปลาอาหารมื้อแรก
รถจอดพัก 15 นาที แล้วก็ออกเดินทางมุ่งตรงสู่เมืองจอนจู  ระหว่างทางก็แวะจอดส่งผู้โดยสารที่เมืองอื่นๆก่อนถึงจอนจู ประเทศนี้ขนาดเมืองที่ดูชนบทๆอย่างเมืองอิกซาน ก็ยังมีแท็กซี่ให้ขึ้นนะคะ ดีงามมม ชอบเรื่องการคมนาคมของเค้าจัง บ้านเราล้าหลังไปกี่ปีนับไม่ถูกเลยทีเดียว แต่ยังไงก็รักประเทศไทยที่สุดรอให้บ้านเราดีงามบ้าง(คนเราต้องไม่หมดหวัง) นั่งรถจากสนามบินจนถึงตำแหน่งที่จะลง รวมเวลาทั้งหมด 3 ชั่วโมง 40 นาที จากนั้นเราก็แบกกระเป๋าไปขึ้นแท็กซี่และเอาใบจองที่พักให้เค้าดู ในใบนั้นมีพิกัดGPS  แท็กซี่ที่นี่ไฮเทคมีจอGPS ทุกคัน แค่กดตำแหน่ง  แต่เนื่องจากที่พักของเราอยู่ในหมู่บ้านโบราณ Jeonju Hanok Village มันละลานไปด้วยบ้านโบราณ น่าจะหาตามพิกัดได้ยาก ทำให้คนขับน่าจะงงพอสมควร เค้าขับวนไปวนมาหลายรอบ เราเลยลงตรงตำแหน่งที่คิดว่าใกล้ที่พักที่สุดแล้วเดินเอา ใกล้จริงๆเดินประมาณ 10 ก้าวก็ถึงบ้านพัก
แบซอก Guest house
ช่วงที่ไปเป็นฤดูที่ใบไม้ต้นไม้แห้งไปหมด รวมไปถึงต้นไม้หน้าบ้านพักด้วย555+ บ้านพักนี้เราก็พักตามรีวิวที่เคยอ่านเจอ แต่ไม่ใช่ว่าตามไม่ดูหน้าดูหลังนะ ก่อนจองเราก็ศึกษาเรื่องที่พักมาอย่างดีเหมือนกัน เราหาที่พักผ่านApp Airbnb แอพนี้มีที่พักให้เลือกเต็มไปหมด ที่นี่ราคาใช้ได้ไม่แพงเกินไป เค้าบอกว่าอยู่สามคนได้(ตอนจองนึกไว้ว่าจะไปกัน 3 คน) ภายในห้องก็เป็นสไตล์เกาหลี๊เกาหลี  คือชอบนะมันแบบได้ใช้วิถีชีวิตแบบโบราณๆดี บ้านพักมีน้องแมวเต็มไปหมดเลย ดูแมวสุขภาพไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ขนมันดูยุ่งๆ แต่ก็ดูอ้วนดีนะ คงไม่เป็นอะไรมากมั้ง55(นี่เราเป็นสัตวแพทย์จริงๆหรอ)




หมอนที่เห็นในรูปข้างในเหมือนเป็นทราย คือชอบอ่ะเกิดมาไม่เคยใช้แบบนี้ รู้สึกเหมือนจะนอนสบาย สบายจริงๆนะ อยากได้กลับมาเหมือนกันนะ แต่หาที่ซื้อไม่ได้ ลืมถามเจ้าของบ้านด้วย แอบเสียดาย  หรือที่หลับสบายเพราะเหนื่อยมาทั้งวัน555 ก่อนนอนเราก็ไม่ลืมที่จะดื่มนมกัน นมกล้วยและนมชอคโก้ ซื้อจาก711 หลังจากลงรสบัส ร้านสะดวกซื้อที่นี่ของกินดูแปลกตาไปหมด ชอบๆ แต่ของกินก็แพงอยู่นะถ้าเทียบกับที่ไทย ก็ค่าครองชีพเค้าสูงกว่าเราต้องเข้าใจ  มาเที่ยวๆต้องเต็มที่ คืนนี้นอนก่อนเดี๋ยวพรุ่งนี้ก็จะได้เที่ยวแล้ววววเย่ๆ



เช้านี้ตื่นมาอากาศในห้องอบอุ่นถึงขั้นร้อน ตื่นเช้ามาเชื่อป่ะเหงื่อออกเพราะเราเปิดฮีตเตอร์แต่ไม่ได้เปิดเครื่องปรับอากาศ เหมือนว่ามันต้องใช้2 อย่างคู่กัน เปิดแค่ฮีตเตอร์เหมือนหายใจไม่ออก เพิ่งรู้ว่าต้องเปิดทั้ง 2 อย่างก็คืนที่สอง  เช้านี้ตื่นหกโมงจะมาดูพระอาทิตย์ขึ้น  อากาศข้างนอกเย็นมาก น่าจะ 0-1 องศา เราเดินเล่นบริเวณใกล้ๆหมู่บ้านโบราณ เดินผ่านโบสถ์คริสต์สวยงามมาก  และก็ไปเจอร้านขายขนมจีบซาลาเปา เป็นรายเพิงๆคล้ายในซีรี่ย์เลย555+ เลยลองซื้อชิมกัน ซาลาเปาอร่อยจัง แถมไม่แพงด้วยแหละ ไม่น่าเชื่อว่าจะราคาแค่ 15 บาท เพิ่งเจอของกินราคาถูกที่เกาหลี 

โบสถ์คริสต์
จากนั้นก็เดินไปดูพระอาทิตย์กัน แต่หาไม่เจอ555 เจออีกทีก็แดดเปรี้ยงๆ แดดแรงนะแต่มันหนาววว  เดินไปเรื่อยๆรอบๆหมู่บ้านโบราณ เดินไปเจอสะพานอะไรไม่รู้ดูเหมือนเป็นสถานที่สำคัญ ความจริงมีป้ายให้อ่านรายละเอียดนะ แต่ยังไม่ทันได้อ่านก็ไปเจอวิวสวยๆที่มองจากสะพานไปเห็นภูเขาและลำธาร ก็อดที่จะไปเก็บภาพไม่ได้
สะพาน....



จากนั้นเราก็เดินไปตามทางริมคลอง  ระหว่างเดินก็ได้กลิ่นน้ำเน่าเป็นพักๆ คาดว่าคลองนี้น่าจะเป็นคลองบำบัดน้ำเสีย  เดินไปเรื่อยๆเราก็เจอตลาดสดยามเช้า เป็นตลาดที่บ้านๆมาก ชอบอีกแล้วมันดูเป็นวิถีชีวิตแบบslow life สมกับที่เป็น slow city จริงๆ ตลาดเช้านี้มีผักผลไม้พื้นเมืองเต็มไปหมด เป็นผักที่เราไม่ค่อยจะรู้จักซะด้วย แต่ผลไม้พอจะรู้จักอยู่บ้าง ช่วงนี้ดูเหมือนส้มน่าจะเป็นผลไม้ที่หากินง่าย มีขายเยอะ แต่ที่เด็ดคือ สตรอเบอร์รี่ที่แสนจะราคาถูก  เราซื้อจากป้าแก่ๆลูกไม่ใหญ่มาก อารมณ์น่าจะเป็นส่วนที่เค้าคัดออกจากลูกใหญ่ แต่มันถูกจริงๆนะ กล่องนึง 4000 วอน กล่องใหญ่เหมือนกันนะ กิน 2 วันก็ยังไม่หมด แถมรสชาติมันช่างแสนวิเศษ มันสดมากๆ พอกัดจะเห็นว่าตรงกลางลูกมีละอองน้ำติดอยู่(ไม่ได้ถ่ายรูปเก็บไว้ให้ฟินกัน) อร่อยยยยยยยยย นอกจากสตรอเบอร์รี่แล้วอีกอย่างที่ประทับใจคือสาหร่ายยย อร่อยอ่ะ รสชาติมันดี๊ดี มันดูสด แต่ก็แห้งแล้วแหละแต่มันเขียวๆไม่ใช่สีดำเหมือนที่เคยกิน




  
สาหร่ายในภาพไม่ใช่มี่เราบอกว่าอร่อยนะ ในรูปเหมือนจะเป็นสาหร่ายสด น่าจะเอาไปทำพวกซุป แต่สาหร่ายแห้งที่กินกันลืมถ่ายรูปอีกแล้ว สาหร่ายน่าจะเป็นของฝากอันดับต้นๆจากเกาหลีนะ คิดเอาเองเพราะมันดูมีเยอะและไม่แพง แถมอร่อย  หลังจากชอปปิ้งกันอย่างสนุกสนาน ก็ได้เวลาที่เราจะต้องกลับบ้านเตรียมตัวออกเดินทางไปเขาไมอีซาน(ภูเขาหูม้า) เขาในตำนาน ที่เลือกไปที่นี่ก็เพราะอ่านรีวิวมาดูน่าสนใจดีและไม่ไกลจากจอนจูมากนัก อุปกรณ์สำคัญที่เราเตรียมไปก็คือโทรศัพท์มือถือ กล้องถ่ายรูปและแผนที่ นั่นเอง  ขอบอกเลยว่าบางทีมันก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยนะสำหรับการสื่อสารในต่างแดนที่คนส่วนมากเค้าไม่ค่อยใช้ภาษาอังกฤษกัน อาจจะต้องคลำๆงมๆเอา อย่างเช่นการเดินทางของพวกเรา เป็นต้น อันดับแรกเราไม่รู้ด้วยซ้ำว่าต้องไปขึ้นรถตรงไหนเพื่อที่จะไป  Jeonju bus terminal เพื่อจะต่อรถไปที่เขาไมอีซาน อ่านรีวิวมาเค้าบอกว่าจะมีรถสีส้มๆอยู่แถวๆ bus terminal รถออก 9.40 น. ประมาณนี้ เราเลยไปขอความช่วยเหลือที่Informationแถวๆ hanok village คุยกันพอรู้เรื่องบ้าง แต่เค้าแนะนำดีมากแถมให้แผนที่มาเต็มเลย แล้วก็มีตารางเดินรถที่จะไปเขาไมอีซานด้วย ในแผ่นกระดาษจะมีบอกรายละเอียดสถานที่ขึ้นรถ ดูเหมือนว่าการไปเขาไมอีซานสามารถไปได้ 2 แบบ 

ตารางรถไปไมอีซาน


เค้ากางแผนที่และชี้ให้เราไปขึ้นรถเมล์สายอะไรสักอย่างเลขสามตัว จำไม่ได้แล้ว ถ้าใครจะไปแบบเราก็ถาม Informationดีกว่า ถึงเค้าจะบอกได้ละเอียดแต่เราก็ยังขึ้นผิดสายได้นะ เพราะเคยอ่านรีวิวเค้าบอกว่าขึ้นอีกสายได้  เลยขึ้นตามที่อ่านมาปรากฏว่าไม่ไป bus terminal ก็ต้องลงกลางคัน ตอนนั้นงงกับชีวิตมาก คุยกับคนขับรถเมล์ก็ไม่ค่อยรู้เรื่อง ความผิดพลาดครั้งนี้ทำให้เราได้ประสบการณ์เพิ่มขึ้น ได้รู้จักวิธีจ่ายค่ารถเมล์แบบไม่ได้ใช้ T-Money คือการหยอดเงินลงไปในกล่องรับเงินข้างๆคนขับ แต่เค้าก็ไม่ได้เช็คนะว่าหยอดไปเท่าไหร่ แต่เราก็ใส่ไปครบตามจำนวนที่เค้าบอกให้ใส่แหละ ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมไม่ซื้อ T-Money มาใช้ อยากลองอะไรแปลกๆมั้ง555+ 
หลังจากที่นั่งรถผิดสายก็ต้องรอสายที่ Information แนะนำมาน่าจะเป็นวิธีที่ดีที่สุด ถ้าเชื่อเค้าแต่แรกก็ไม่พลาดแบบนี้ ในที่สุดเราก็ได้สายที่ต้องการและได้รับความช่วยเหลือจากสาวเกาหลีในการพาเราขึ้นรถเมล์ คนที่นี่ใจดีเหมือนกันนะ และก็ถึงจุดหมายแรก Jeonju bus terminal ไปซื้อตั๋วกัน และแล้วรถที่จะไปไมอีซานโดยตรงก็ออกไปแล้ว เราเลยต้องไปที่เมืองจีนานก่อนแล้วค่อยต่อรถจากจีนานไปไมอีซาน หลายต่อจริงๆ แต่การคมนาคมที่นี่สะดวกสุดๆไม่ต้องกลัวจะไม่ได้ไป รถไปจีนานน่าจะออกทุกๆ 20 นาที ดีงามมม รถเมล์ก็นั่งสบายกว้างขว้างดี ค่ารถ 4600 วอน ถึงสถานีขนส่งจีนาน คือที่นี่มีแต่ผู้สูงอายุ คาดว่าน่าจะคุยกันมิรู้เรื่องแน่ๆ เราเลยพยายามมองหาวัยรุ่นแล้วเราก็เจอสาวน้อยหนึ่งคนที่เราคิดว่าจะสามารถช่วยเราหารถได้ว่ามันคันไหน เพราะการมาจีนานก่อนมันไม่ได้อยู่ในแผนของเราเลย และเธอก็ช่วยได้จริงๆเธอใจดีมากๆ ขอบคุณเธอจริงๆ 

บขส.จีนาน
บรรยากาศบนรถเมล์ไปไมอีซาน ส่วนมากเป็นผู้สูงอายุ
นั่งรถจากจีนานไปไมอีซานใช้เวลาแค่ 10 นาทีได้มั้ง สองข้างทางเป็นชนบทของเกาหลี ชนบทได้ใจมาก คิดไว้ว่าอยากจะมาเจออะไรแบบนี้แหละชอบบบบบมาก เจอวัว เจอแพะด้วย น่าเสียดายที่เป็นช่วงที่ใบไม้ร่วงไปหมดแล้ว ต้นไม้ก็เลยมีแต่กิ่งให้เราเห็น แต่เป็นอีกบรรยากาศที่เหมือนเราได้เป็นส่วนนึงของที่นี่ ได้เห็นวิธีชีวิตของต่างเมือง อีกอย่างพอไม่ใช่ช่วงน่าเที่ยวก็ทำให้คนไม่พุกพล่าน เลยรู้สึกเหมือนเป็นส่วนนึงของที่นี่ไม่เหมือนมาเที่ยว รู้สึกอินกับความเป็นเกาหลี รถมาจอดที่ไมอีซานใต้ จากนั้นเราก็เดินไปถ่ายรูปกับสิ่งก่อสร้างที่น่าจะเป็นสัญลักษณ์อย่างนึงของที่นี่ หรืออาจจะเป็นประตูวัด


แผนที่ เส้นทางเดินเขาไมอีซาน

เดินไปสักพักจะพบจุดขายตั๋วเพื่อไปเดินขึ้นเขา  แต่ก่อนจะไปซื้อตั๋วเราสามารถขอแผนที่กับ Information ได้บริเวณใกล้ๆกับที่รถเมล์จอดแหละ  จะเป็นประโยชน์มากสำหรับนักท่องเที่ยวที่ไม่รู้เส้นทางอย่างเราๆ  และพวกเราก็พลาดที่ไม่ได้ไปขอแต่แรกเพราะไม่รู้ว่ามีแผนที่ให้ พวกเรามาได้แผนที่ตอนที่เดินลงจากเขาแล้ว และก็เสียดายมากยังเที่ยวไม่ครบเลย ราคาตั๋วอยู่ที่ 3000 วอน จากนั้นเราก็เริ่มปฏิบัติการเดิน เราค่อนข้างรีบเดินพอสมควรเพราะเราเข้าใจผิดว่าจะมีรถเมล์จากไมอีซานไปจอนจูออกตอนบ่ายสามโมงครึ่ง ทำให้เรามีเวลาเดินแค่ประมาณ 1 ชั่วโมงครึ่ง เดินแบบตีนผีมากก ถ่ายรูปก็อยากถ่าย ทุกอย่างมันดูเร่งไปหมด เพราะฉะนั้นถ้าใครจะมาเที่ยวที่นี่ไม่ต้องเร่งสปีดแบบพวกเราก็ได้เพราะสุดท้ายเราก็ต้องนั่งแท็กซี่ไปบขส.จีนานอยู่ดี เพราะที่จีนานมีรถไปจอนจูค่อนข้างเยอะ ดีกว่านั่งรอรถเมล์ที่จะไปจอนจูโดยตรงและจากไมอีซานใต้ไปจอนจูมีรถออกแค่ไม่กี่รอบ  มีอีกวิธีการกลับที่เราเพิ่งค้นพบก็คือ ถ้าเราเดินจากไมอีซานใต้ไปจนถึงไมอีซานเหนือ  ตรงไมอีซานเหนือจะมีรถไปจีนานค่อนข้างเยอะ กลับได้แบบสบายๆ ไม่ต้องนั่งแท็กซี่เหมือนพวกเราด้วย แต่ความจริงค่าแท็กซี่ก็ไม่แพงมากนะประมาณ300 บาท คือแท๊กซี่ที่นี่จะไม่เหมาๆแบบบ้านเรานะเวลาไปต่างจังหวัด แต่ที่นี่เค้าจะคิดราคาตามมิเตอร์ตลอด ดีอ่ะ  กลับไปสู่การเดินทางขึ้นเขาดีกว่า
หน้าตาบัตรขึ้นเขา

ระหว่างสองข้างทางแรกๆก็จะมีพวกร้านปิ้งย่างหลายร้านเหมือนกันนะ ดูเหมือนจะขายเป็นชุดๆ น่ากินเหมือนกันแต่ตอนนี้รีบ เดินผ่านไปแบบหิวๆ สังเกตได้ว่าตั้งแต่เล่ามาวันนี้ยังไม่ได้กินข้าวเลยนะ แต่เราก็ต้องเดินเลยผ่านไปเพราะอารมณ์กลัวตกรถมากกว่า(ตอนนั้นรู้วิธีกลับวิธีเดียว) นอกจากร้านอาหารยังมีร้านขายของฝากด้วย  ส่วนใหญ่ดูเหมือนจะเป็นพวกสมุนไพร แต่เราไม่รู้จัก อย่างเดียวที่พอจะรู้จักก็คือโสม


 โสมดองมั้ง
หน้าร้านปิ้งย่าง
พ้นจากร้านขายของก็จะเริ่มเห็นสิ่งก่อสร้างโบราณ อีกฝั่งของถนนก็จะมีลำธาร บรรยากาศดีมาก ถ้ามาช่วยฤดูใบไม้เปลี่ยนสีน่าจะสวยงามมาก ขนาดตอนนี้ใบไม้ร่วงหมดต้นยังรู้สึกว่าสวยได้555+ การเดินขึ้นเขาที่นี่รู้สึกว่ามันชิลๆดีนะเพราะอากาศเย็นสบาย 


เดินมาสักพักเราก็เจอบ่อน้ำ ในแผนที่จุดนี้เขียนว่า.ทาบยองเจ..มั้ง น่าจะอ่านประมาณนี้  บ่อนี้มีศาลาริมน้ำด้วยอารมณ์มันเศร้าๆนะเหมือนเรามานั่งรอคนรัก บรรยากาศรอบข้างมันทำให้รู้สึกแบบนั้นเพราะต้นไม้แห้งเหี่ยวไม่สดใส ฟินนนนนกับความเศร้า เริ่มเพ้อละ555+ 

ทะเลสาบทาบยองเจ
จากทะเลสาบเดินไปไม่ไกลจะพบสิ่งก่อสร้างคล้ายๆวังแต่เป็นขนาดเล็กไม่มั่นใจเหมือนกันว่าคืออะไร สวยดี จากจุดนี้เดินไปอีกสักพักก็จะถึงวัดเทปซา ระหว่างทางมีร้านขายขนมเล็กๆลักษณะคล้ายจะเป็นขนมพื้นเมืองคาดว่าถ้าซื้ออาจจะกินไม่หมด แต่ตอนนั้นหิวมากเลยซื้อสายไหมกินกัน  สายไหมที่นี่แพงจริงๆ 2000 วอน หวานมากกกกกกกกก เติมพลังงานให้พวกเราได้เป็นอย่างดี จากนั้นก็เดินต่อจนถึงวัดเทปซา 


วัดเทปซา
โลเคชันของวัดเลิศมากมีภูเขาหินขนาบข้าง เจดีก้อนหินมีหลากหลายองค์มาก สวยงามแปลกตาสำหรับผู้มาเยือนอย่างเรา เก็บภาพกับวัดนิดหน่อย เพราะต้องรีบกลับกันแล้วล่ะ ดูเหมือนจะได้ยินเสียงสวดมนต์ในวัดด้วย ความจริงสามารถเดินไปต่อถึงไมอีซานเหนือ แต่ตอนนั้นเราไม่รู้เราเลยกลับทางเดิม ด้วยการวิ่งกลับเพราะเหลือเวลาอีกแค่ 20 นาที รถเมล์ก็จะออก(เข้าใจผิดกันไปเองว่ามีรถเมล์) ขาลงจากเขาเราก็ค้นพบว่ามีน้ำตกด้วย อยู่ใกล้ๆกับทะะเลสาบ น้ำมันแข็งหมดเลย ตื่นเต้นอ่ะ ไม่เคยเห็น เก็บภาพสักนิด
ถ่ายภาพให้เพื่อน
พอลงมาถึงบริเวณที่รถเมล์จอด เราไม่พบรถสักคัน เลยไปขอความช่วยเหลือจาก information เธอบอกว่าไปแท็กซี่มั้ยน่าจะเสียเวลาน้อยกว่า ระหว่างที่รอแท็กซี่เราก็นั่งคุยกันเล่นๆ แลกเปลี่ยนประสบการณ์ศิลปินเกาหลีและไทยกัน  เราเองก็ชื่นชอบศิลปินเกาหลี เธอก็เอาหนังสือท่องเที่ยวเมืองจีนานมาให้ดูว่ามิกกี้เคยมาถ่ายซีรี่ย์ด้วยนะ คิดในใจมาที่นี่ก็เพราะมิกกี้เป็นส่วนนึงแหละ555+ แล้วเธอก็เล่าให้ฟังว่าเธอก็ชื่นชอบดาราไทยเหมือนกันนะ โดยเฉพาะมาริโอ้  น่าภูมิใจแทนประเทศเราจริงๆ เธอติดตามผลงานละครผ่านยูทูปตลอด คุยกันจนแท็กซี่มา เธอน่ารักมาก บ๊ายบาย ไมอีซาน ภูเขาในตำนาน      
แท็กซี่ส่งเราที่บขส.จีนาน ซื้อตั๋วกลับจอนจูกันเถอะ เริ่มเพลียละ พอถึงจอนจูก็เจอร้านเบเกอร์รี่  Parisss อะไรสักอย่างชื่อยาว มีจวนจีฮุนเป็นพรีเซ็นเตอร์หน้าร้าน มองจากข้างนอกมันน่ากินมากต้องเข้าไปแล้วล่ะ หิวมากด้วย จัดการซื้อคนละอย่างสองอย่าง ขนมก็ไม่ได้แพงเว่อนะถ้าเทียบกับคุณภาพ


จากนั้นเราก็นั่งรถเมล์สายเดิมกลับบ้านโบราณกัน แต่ที่น่าสังเกตอีกอย่างคือ ป้ายรถเมล์เค้าจะมีจอบอกด้วยนะว่าอีกกี่นาทีรถสายไหนจะมา ด้วยความอยากรู้ของเรา ก็ทำการจับเวลาเลยค่ะว่าจะตรงจริงมั้ย และมันก็ตรงเป๊ะมากกกก ที่นี่เค้าทำได้ไงอ่ะ ดีงามมมม จากป้ายรถเมล์ก็เดินเอาของไปเก็บที่บ้านกัน กินขนมให้เรียบร้อย เติมพลังงานเสร็จ แผนต่อไปคือเดินเล่นที่หมู่บ้านโบราณสไตล์เกาหลี  อันดับแรกต้องไปเช่าฮันบกกัน ที่หมู่บ้านนี้ีร้านให้เช่าเยอะแยะ ระหว่างที่เราเดินเลือกร้านก็พบผู้คนที่มาเที่ยวใส่ชุดฮันบกกันมากมายหลายแบบ ดูคนอื่นแล้วก็คิดว่าเราจะเลือกแบบไหนดีนะ พอได้ร้านก็จัดการเลือกชุดเลยจร้าาา มีเยอะจริงๆ มีหลายระดับแบบธรรมดา ไปจนถึงแบบที่ดูหรูหราอลังค์การ  เราเอาธรรมดาก็พอ ราคาเช่าก็อยู่ที่ประมาณ 300 บาทนะ  มีเครื่องประดับให้เลือกด้วยล่ะ ชอบจังเลยย ระหว่างที่เราเลือกชุดก็มีนักท่องเที่ยวเกาหลีมาช่วยเลือกด้วยน่ารักมากเลยล่ะ คนที่นี่ใจดีจัง
ร้านเช่าฮันบก
เปลี่ยนจุดเสร็จก็เดินเล่นกัน ส่วนใหญ่ก็ถ่ายรูปเล่นแหละ  เดินกันจนค่ำ จากนั้นก็ได้เวลาแห่งความสุข เลือกร้านของกินกัน  อยากกินบิบิมบับ มานานและ เลยเลือกเข้าร้านที่มีเมนูนี้  แต่ร้านส่วนใหญ่ของที่นี่ก็จะมีเมนูนี้อยู่แล้ว เพราะที่เมืองนี้เค้าดังเรื่องบิบิมบับ ร้านไหนก็น่าจะมี  พอเราเข้าไปในร้านปรากฏมีแต่บิบิมบับเนื้อ กินไม่ได้กันทั้ง 2 คน  อดจ้ะ ต้องสั่งเมนูอื่น ที่มีหมูเป็นส่วนประกอบ ดูเหมือนจะมีอยู่ไม่กี่เมนู สุดท้ายก็ต้องกินแหละ  ไม่น่าเชื่อว่ามันจะรสชาติดีเกินคาด ต้มอะไรไม่รู้น้ำแดงๆ มีถั่วงอก กินกับข้าวเกาหลีร้อนๆอร่อยอ่ะ มีกิมจิคอยตัดคาว 

เมนูอย่างเป็นทางการเมนูแรก

กินเสร็จก็เข้าบ้านกัน อากาศเริ่มจะเย็นแล้วล่ะ  นอนเล่นในบ้านดีกว่า ดึกๆก็เอาสตรอเบอร์รี่ที่ซื้อตั้งแต่เมื่อวานมากินคู่กับชีสเค้กที่ซื้อมาจากร้านเบเกอร์รี่วันนี้  เข้ากันได้ดีมากมาย กินคู่กับนมโคเสริมแคลเซียม จากร้านที่ซื้อชีสเค้ก รสชาตินมมันแปลกๆบอกไม่ถูก เข้านอนกันดีกว่าวันนี้เหนื่อยมาทั้งวันแล้ว  ก่อนนอนเปิดทีวีเกาหลีดูเจอสิ่งนี้ด้วย ตอนนี้ที่ไทยกำลังฮอตเลยล่ะ หลับฝันดีเลยล่ะค่ะ555


เช้าวันศุกร์ที่ 4 มีนา  เราก็ยังคงไปเดินตลาดเช้าเหมือนเดิม แต่คราวนี้มีภารกิจคือซื้อของฝาก ซึ่งเราก็คิดไว้คร่าวๆแล้วว่าจะซื้ออะไรบ้าง อย่างแรกคือสาหร่าย 9 ห่อ 10000 วอน ถูกและอร่อย ลูกพลับแห้ง ช้อนเกาหลี เหมาช้อนกันไปคนละหลายสิบคัน เพราะตอนนั้นรู้สึกว่ามันถูกจังแถมดูดีมีราคา ได้ของฝากกันแล้วก็ไปหามื้อเช้ากินกันดีกว่า วันนี้ต้องได้กินบิบิมบับ!!! เราเลือกร้านใกล้ๆที่พักแต่ดูดีนะ มีการันตรีด้วยเป็น Good native restaurant ลองเลยละกัน  ที่นี่มีบิบิมบับเนื้อเป็นอาหารแนะนำ เราเลยเลือกบิบิมบับไข่ปลาและเลือกอาหารอีกอย่างคือข้าวต้ม  หน้าตาดูดีมากอาหารมื้อนี้ รสชาติก็ไม่แพ้หน้าตานะ แต่ข้าวต้มไม่ค่อยถูกปากอ่ะรู้สึกเฉยๆ  แต่บิบิมบับอร่อยมากกก ชอบอ่ะดูเป็นเมนูเพื่อสุขภาพ 

บิบิมบับไข่ปลา
กินข้าวเสร็จกลับไปเก็บข้าวของที่บ้านกันเตรียมตัวเข้าเมืองหลวง ก่อนจากจอนจูเราก็ได้ร่ำลาเจ้าของบ้านและให้ของฝากที่ได้เตรียมไว้ ลาแมวเหมี่ยวทั้งหลาย แล้วลากกระเป๋าไปขึ้นแท็กซี่กันเพื่อจะไปสถานีรถไฟ ก่อนจะเจอแท็กซี่ก็มาเจอร้านนี้ก่อน ร้านไอศกรีมที่ดูเป็นธัญญาพืชไปหมด หน้าตาน่าอร่อย ร้านน่ารักดี ลองซื้อชิมสักอัน รสชาติไม่แย่นะ คนที่ชอบพวกธัญญาพืชน่าจะชอบ
ไอศกรีมธัญญาพืช
ไปขึ้นแท็กซี่ดีกว่านั่งไกลเหมือนกันนะกว่าจะถึงสถานีรถไฟค่าแท็กซี่ 300 บาทน่าจะได้  จากนั้นก็ไปซื้อตั๋วรถไฟความเร็วสูง KTX กัน  อยากขึ้นตั้งนานและ ได้ขึ้นแล้วนะวันนี้อยากรู้ว่าจะเร็วสักแค่ไหนกัน ซื้อตั๋วเสร็จเราก็ไปเข้าห้องน้ำ ห้องน้ำที่นี่สะอาดมากกกกก เสร็จแล้วก็ไปนั่งรอที่ชานชลา  อ่านตามตั๋วได้เลยว่าต้องไปที่ชานชลาไหน แต่ด้วยความที่รถลาที่นี่ค่อนข้างตรงเวลาทำให้เราไม่กล้าเถล่ไถล่ไปไหนเลย ไปนั่งรอดีกว่าถึงแม้จะอีก 45 นาทีก็ตาม ก็ถ่ายรูปเล่นกันแถวๆชานชลานั่นแหละ  สถานีรถไปสะอาดมากเลยอ่ะ 
ตั๋วKTX
ชานชลา
รถไฟมาตรงเวลาเป๊ะตามเคย ลากกระเป๋าขึ้นรถไฟกัน รถจอดประมาณ 3 นาที จะต้องจากเมืองนี้ไปแล้วสินะ  ที่นี่มีอะไรน่าประทับใจหลายอย่างเลยที่เดียว เป็นเมืองที่เรียบง่ายแต่ก็ไม่ใช่บ้านนอกนะคะ เค้าเจริญมากเลยล่ะ  บ๊ายบายจอนจูเมืองที่แสนจะน่ารัก เจอกันอีกทีที่โซลนะคะ

วันอาทิตย์ที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2559

เที่ยวเกาหลีใต้ด้วยตัวเองครั้งแรกแบบงงๆ Part1

         การเดินทางครั้งนี้เกิดขึ้นจากที่ทำงานมาสักพักแล้วรู้สึกอยากจะเที่ยว ประจวบกับมีโปรตั๋วราคาถูกของหางแดง เลยจัดการจองตั๋วข้ามปีกันเลยทีเดียว ถึงจะจองข้ามปีแต่ด้วยความขี้เกียจของเราแทบจะไม่ได้วางแผนอะไรเลย555+  ไปตายเอาดาบหน้าละกัน ทริปนี้ตอนแรกมีเพื่อนร่วมเดินทาง 2 คน เอาไปเอามาพอใกล้ๆเข้าได้ไปกันแค่ 2 คน อีกคนลางานไม่ได้  ที่ทำงานเคี่ยวสุดๆ  เลยอยากเตือนว่าถ้าใครจะจองตั๋วล่วงหน้านานๆเราต้องมั่นใจนะว่าจะไปได้จริงๆ ไม่งั้นเสียดายแย่
 เราไปช่วงหน้าเกือบหายหนาวที่เกาหลีแต่สำหรับคนไทยแล้วแบบนี้บ้านเราก็ไม่มีนะ ถ้าจะมีก็บนยอดดอย  อันดับแรกก็ต้องเตรียมอุปกรณ์กันหนาว แต่ไม่ต้องใส่หนามากกก็ได้ บางวันอุณหภูมิสูงถึงสิบห้าสิบหกองศา  เดี๋ยวจะร้อนไปอึดอัดด้วย ความจริงแค่ heattech ก็เอาอยู่ ถุงมือก็แทบไม่ได้ใช้นะ หรือเพราะเราชอบอากาศหนาวก็ไม่รู้นะ เพื่อนที่ไปด้วยขี้หนาว  จะใช้ถุงมือช่วงเช้าๆเพราะอุณภูมิยังต่ำอยู่ ควรมีถุงเท้า  รองเท้าก็ผ้าใบสะดวกในการเดินดี เพราะจากที่เพลนไว้ทริปนี้คือเราเน้นเดินจริงๆ 
ต่อไปเรื่องเงินนนนนนน ไปแลกเงินวอนกัน  ตอนแรกวางแผนไว้ว่าจะแลกที่superrich ไปที่สาขาพารากอนแต่หาไม่เจอ5555+เลยไปแลกที่ร้านเพชร เพราะเห็นหน้าร้านมีจอสกุลเงินเคิดว่าคงแลกได้ และก่อนแลกเราก็เช็คจากโซเชียลนะว่าเรตร้านนี้ก็ใช้ได้อยู่ จัดการแลกเลย แต่พอดีเงินวอนเหลือแค่สี่แสนเลยแลกได้นิดเดียว ก็ต้องค้นหาที่แลกเงินต่อไป และในที่สุดเราก็หาsuperrichเจอซะที อยู่ชั้น3 ฝั่ง north (ถ้าจำไม่ผิดนะ55) ปรากฏว่าแลกที่นี่ได้เรตดีกว่าเยอะเหมือนกันนะถ้าแลกเยอะก็ต่างกันหลายบาทอยู่  ดีนะที่แลกไปแค่นิดเดียว  เรียบร้อยเรื่องเงิน สุดท้ายก่อนกลับบ้านเจอsuperrichสีส้มที่BTSสยาม เรตแพงมากกกกก ดีนะไม่แลกที่นี่ตั้งแต่แรก สีเขียวเรตดีกว่าเยอะเลย
ร้านเพชร

Superrich
ทีนี้ก็จัดกระเป๋าเตรียมบิน ของใช้ก็เอาไปเท่าที่จำเป็นก็น่าจะพอ  บางอย่างไปซื้อที่เกาหลีก็ได้นะไหนๆก็ไปประเทศเค้าแล้วลองใช้ของบ้านเค้าดูก็ดีเหมือนกันนะ แต่ถ้าเป็นทริปประหยัดงบก็คงต้องเตรียมของใช้ไปจากไทยดีกว่า เพราะของที่นู้นก็ค่อนข้างแพงกว่าบ้านเราเยอะอยู่
วางแผนการเดินทางว่าวันไหนจะไปไหนบ้าง  ปกติเป็นคนทำอะไรไม่ค่อยชอบวางแผนนะ แต่นี่เป็นการไปต่างประเทศไกลๆครั้งแรก แถมไปแบบไม่ค่อยรู้เรื่องรู้ราว เลยวางแผนซักหน่อยละกันอย่างน้อยก็เพลนว่าวันไหนจะไปไหนบ้าง ไปด้วยวิธีไหน เพราะถ้าไม่วางแผนเลยจะทำให้เราเสียเวลาไปโดยเปล่าประโยชน์ แต่ถ้าไปหลายวันก็ชิลๆไม่ต้องวางอะไรมาก ไปคิดที่เกาหลีเลยก็ได้(คิดวันต่อวัน) แต่พอดีเราไปแค่ไม่กี่วัน นี่ขนาดวางแผนนะยังเสียเวลาไปเยอะมากส่วนใหญ่จะเสียไปกับการช๊อปปิ้ง ทำให้ไม่เป็นไปตามแผนที่วางไว้หลายอย่างเหมือนกัน อีกอย่างเราพลาดตรงที่ถ้ามีเวลาไม่เยอะควรจะหาที่พักแถวย่านช๊อปปิ้งน่าจะดีกว่า
วันเดินทางของเราคือ 2 มีนาคม 2559 เครื่องออก 8.15 น.  เนื่องจากเราทำงานอยู่ต่างจังหวัดถ้าออกเช้าวันเดินทางเลยก็น่าจะไม่ทัน  เลยไปนอนค้างคืนที่กทม. ก็หาหอพักใกล้ๆแถวดอนเมือง ได้พักที่ภินันท์ชัยแมนชั่น คืนละ500บาท ห้องก็ใช้ได้นะ
ภินันท์ชัยแมนชั่น
ตอนเช้าออกจากแมนชั่นประมาณหกโมงก็ทันนะ เพราะเราเช็คอินผ่านเนตไว้แล้ว พอไปถึงก็โหลดกระเป๋าและรับ Boarding Pass ได้เลยไม่ต้องต่อแถวรอเชคอิน  ไปกัน 2 คน  ซื้อน้ำหนักไว้ 30 กิโล ความจริงตอนแรกซื้อไว้แค่ 20 กิโล แต่โดนเพื่อนไซโคว่าจะไม่พอเลยซื้อเพิ่มอีก 10 กิโล ปรากฏว่า  2 คนรวมกันหนัก 18 กิโล!!!!!!เจ็บใจมาก เสียดายตังค์สุดๆ 
จากนั้นก็เข้าไปส่วนขาออกต่างประเทศ  ไปหาซื้อของฝากให้โฮสต์เจ้าของ Guest House (อยากให้) ตกลงกับเพื่อนไว้ว่าเราต้องหาอะไรที่เป็นไทยๆ ได้ลูกอมโบตันกับพิมเสนน้ำมาจาก 711 เลยจะหาถุงผ้าไทยๆใส่ ได้ถุงที่ร้านนารายา พอดี ภารกิจของฝากเสร็จก็ไปดูเครื่องสำอางค์ที่Dutry Free ศึกษาราคาไว้เทียบกับที่เกาหลี เพราะคิดว่าไปถึงเกาหลียังไงก็ต้องซื้อเครื่องสำอางค์ (ซื้อฝากชาวบ้าน) สำรวจเสร็จก็ไปนั่งรอที่เกจ (จำเลขเกจไม่ได้แล้ว)
ระหว่างนั่งรอคนไทยกับคนเกาหลีครึ่งๆเลยล่ะค่ะ  มีกรุ๊ปทัวน์ด้วยแหละ ไม่ต้องกลัวจะเงียบเหงา  พอได้เวลาก็เดินขึ้นเครื่องกัน ต้องนั่งแยกกับเพื่อนด้วยเพราะเลือกตั๋วแบบไม่เลือกที่นั่ง อาหารก็ไม่เอา(ประหยัดสุดๆ) แต่คนไทยเต็มไปหมดคนข้างๆก็คนไทย  เค้าไปเที่ยวกับทัวน์กันคุยไปคุยมากลับวันเดี่ยวกันด้วยสงสัยขากลับคงเจอกันแน่ๆ รู้สึกนั่งนานมากกกกว่าจะถึงหลับแล้วหลับอีก หิวมากด้วยแต่อดทนไว้ก่อน ไม่อยากเสียตังค์ซื้อข้าวกินบนเครื่องแพงงงงงงงงงงง พอใกล้ถึงเค้าก็จะเตือนให้เราเขียนเอกสารขาเข้าประเทศเกาหลีใต้ เขียนให้เรียบร้อย แอบตื่นเต้นกับตม.เกาหลีเหมือนกันนะเนี่ย แต่คิดว่าคงไม่น่าโดนอะไรนะ ความจริงน่าจะต้องเตรียมซองใส่เอกสารเล็กๆไว้เก็บพาสปอร์ต boarding pass และปากกาเอาไว้เขียน มันสะดวกเวลาจะหยิบจับ ไม่ต้องกลัวว่าพออยู่บนเครื่องแล้วจะฟังที่แอร์พูดไม่รู้เรื่อง(เนื่องจากภาษาของฉันก็ห่วย)  เพราะแอร์พูดไทยค่ะ ก่อนเครื่องจะลงจอดแอร์ก็ประกาศอุณหภูมิภาคพื้น 2องศา เย่ๆๆๆๆๆจะได้สัมผัสความเย็น
เครื่องจอดเสร็จก็ต้องไปผ่านตม.ก่อน เตรียมเอกสารที่เป็นหลักฐานว่าเรามาทำอะไร จะไปไหน เผื่อเค้าถาม เราก็เตรียมเอกสารที่อยู่ที่จะเข้าพัก เนื่องจากเรานอนกัน 2 ที่  เลยแบ่งกับเพื่อนคนละใบ ให้เพื่อนใช้ใบที่พักในกรุงโซล ส่วนเราใช้ที่พักที่จังหวัดจอนจู  เกิดเรื่องจนได้ เหมือนตม.จะสงสัยว่าจะไปจอนจูทำไม ก็บอกว่าไปเที่ยว และเหมือนเค้าจะไม่เชื่อเรา เค้าไม่ให้ผ่านไปจร้าาาา รอคุยกับล่าม เนื่องจากภาษาอังกฤษก็ไม่ได้แข็งแรงนักเค้าเลยให้คุยกับล่าม กว่าจะคุยเสร็จ 1 ชั่วโมง ตอนนั้นเสียวมากกลัวจะไม่ได้เข้าประเทศอุตส่าห์เตรียมมาเที่ยวทั้งทีคงไม่ล่มตั้งแต่สนามบินนะ ในใจก็สงสัยนะทำไมเพื่อนเราไม่โดนอะไรเลยคุยกับตม.ประมาณ 2 นาทีก็ให้ผ่าน ในใจแอบเซ็งเหมือนกันนะเสียเวลามากกกกก แต่ก็ถือว่าเป็นประสบการณ์ที่ไม่ใช่ว่าทุกคนจะได้เจอเลยรู้สึกดีขึ้นมาทันที่555 พอเค้าปล่อยตัวก็รีบไปเม้ามอยกับเพื่อนทันที และไปเอากระเป๋ากัน ปรากฏกระเป๋าไม่อยู่แล้วอาจจะเพราะมันผ่านมาเป็นชั่วโมงแล้วเพื่อนก็ยืนรอเราไม่ได้ไปหยิบกระเป๋าก่อน เลยไปตามหาที่ประชาสัมพันธ์จนได้  จากนั้นก็นั่งรถไฟใต้ดินออกจากเกจ เพื่อไปส่วนกลางของสนามบิน เนื่องจากเกจของสายการบินส่วนใหญ่มันไกลจากส่วนกลางของสนามบิน ยังไงก็เผื่อเวลาด้วยละกัน ตอนนี้เราเสียเวลาไปเยอะและ 
พอมาถึงก็ไปเช่าpocket wifi ทันที ตอนนี้ไม่มีเวลาจะเลือกที่ราคาถูกๆแล้ว เพราะรีบ เจออันไหนก็เอาหมด เดี๋ยวจะตกรถเพราะตามเพลนเราต้องไปจอนจูก่อนด้วยรถAirport limousine bus  เช่าของLG+ ได้มาในราคา 44000 วอน5 วัน  หารกับเพื่อนก็ตกคนละ600กว่าบาท  จากนั้นเราก็รีบวิ่งไปหารถบัสกันจากแผนที่ๆเคยหาไว้จากอินเทอร์เนต ซึ่งหาไม่ยากเลย จากนั้นก็ไปซื้อตั๋วรถกัน ราคา 31000 วอน แพงเอาการอยู่ แต่ไม่มีทางเลือกมันไปได้วิธีเดียว ณ เวลานี้มันเกือบจะหกโมงเย็นแล้ว
ลานจอดรถไปจอนจู 

ตั๋วรถ
รอรถประมาณ10 นาที ก็ขนของไว้ใต้ท้องรถ บนรถกว้างขวางดี แอบเกร็งๆมีแต่คนเกาหลีที่ลักษณะเหมือนจะกลับบ้านที่ต่างจัหวัด ดูไม่เหมือนนักท่องเที่ยว ณ ตอนนั้นอยากพูดภาษาเกาหลีได้เลยล่ะ ถ้ามาคนเดียวต้องแย่แน่ๆ ตอนนี้หิวมากยังไม่ได้กินไรเลยตั้งแต่อยู่บนเครื่อง ที่สนามบินก็ไม่มีเวลาซื้อ ยุ่งวุ่นวายมาก ผิดแผนไปหมด ในใจก็คิดว่าแล้วจะไปลงตรงไหนของจอนจูวะ อาจจะสงสัยกันว่าทำไมเราถึงเลือกไปที่เมืองนี้ เนื่องจากเราและเพื่อนอยากไปเที่ยวต่างจังหวัดด้วยก็เลยรีวิวต่างจังหวัดในเกาหลี ซึ่งก็มีคนมารีวิวจังหวัดนี้ได้ค่อนข้างละเอียด ต้องขอบคุณเจ้าของกระทู้นั้น ถ้าไม่ได้กระทู้นั้นต้องแย่แน่ๆ และมันก็ตรงกับความต้องการของเราเพราะจอนจูเป็นจังหวัดที่เป็นกึ่งกลางสามารถต่อรถไปได้หลายที่ อารมณ์ถ้าเทียบกับไทยก็น่าจะคล้ายๆโคราชนะ  และเมืองนี้ก็เป็นเมืองที่มีเสน่ห์มากๆ และ สัมผัสได้ถึงเกาหลีดั้งเดิมจริงๆ บอกเลยชอบมากกกกกกกกกก รู้สึกดีใจและคิดไม่ผิดเลยที่มาที่นี่.... เดี๋ยวมารีวิวต่อนะ รอติดตามดูการท่องเที่ยวที่เหมือนการผจญภัยมากกว่า555+ ถ้าว่างๆจะมาเขียนต่อนะคะ